ราคาน้ำมันในวันอังคารนิ่ง ๆ โดยราคาขาขึ้นเริ่มชะลอลง หลังตัวเลขเศรษฐกิจจีนย่ำแย่กดดันตลาดโดยธนาคารกลางจีนหั่นดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือน ทำให้ตลาดกังวลว่าจะกระทบต่ออุปสงค์น้ำมันในตลาด แม้กลุ่มโอเปกพลัสจะลดกำลังการผลิต
ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลงเล้กน้อย29 เซ็นต์ อยู่ที่ 85.92 ดอลลาร์/บาร์เรน ขณะที่น้ำมันดิบ WTI ลดลง 36 เซ็นต์ เคลื่อนไหวที่ 82.15 ดอลลาร์/บาร์เรล
ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มขึ้น เหตุกลุ่มโอเปกพลัสหั่นกำลังผลิตถึงสิ้นปี 67
เอกชนสะกิดนโยบาย "แจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาท" กระตุ้นเศรษฐกิจแบบทันที? คำพูดจาก สล็อตทรูวอเลท
ทีมวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT รายงานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยสัปดาห์ล่าสุดเพิ่มขึ้น จากอุปทานมีแนวโน้มตึงตัว โดยกลุ่ม OPEC และพันธมิตร (OPEC+) รวม 19 ประเทศ ลดปริมาณการผลิตน้ำมันดิบมากกว่าข้อตกลง
ล่าสุด S&P Global Platts รายงาน OPEC+ ผลิตน้ำมันดิบในเดือน ก.ค. 2566 ลดลง 0.98 ล้านบาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 35.71 ล้านบาร์เรลต่อวัน ต่ำสุดตั้งแต่ ส.ค. 2564 และต่ำกว่าข้อตกลงของกลุ่ม OPEC+ ที่ 36.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยซาอุดีอาระเบียผลิตลดลง 0.94 ล้านบาร์เรลต่อวันจากเดือนก่อนหน้า อยู่ที่ 9.05 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ OPEC+ มีมติคงนโยบายลดการผลิตน้ำมันดิบรวม 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2567
ประกอบกับ Energy Information Administration (EIA) คาดการณ์อุปสงค์น้ำมันโลกในปี 2566 เพิ่มขึ้น 1.76 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อน อยู่ที่ 101.19 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ปรับเพิ่มขึ้นจากคาดการณ์ครั้งก่อน 0.04 ล้านบาร์เรลต่อวัน) และในปี 2567 เพิ่มขึ้น 1.60 ล้านบาร์เรลต่อวันจากปีก่อน อยู่ที่ 102.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน (ลดลงจากครั้งก่อน 0.01 ล้านบาร์เรลต่อวัน)
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัว สนับสนุนอุปสงค์น้ำมัน ซึ่ง EIA คาดการณ์อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ของสหรัฐฯ ในปี 2566 ที่ +1.9% จากปีก่อน (เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน 0.4%) และคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบ ICE Brent เฉลี่ยช่วงครึ่งหลังของปี 2566 จะอยู่ที่ 86 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล (เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อน 7 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล)
อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (Federal Reserve: Fed) นาง Michelle Bowman กล่าวว่ายังคงมีความจำเป็นที่สหรัฐฯ จะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติม เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับเป้าหมายของ Fed ที่ 2% โดยอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 5.25-5.50% ซึ่งการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว
นักลงทุนจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่อาจจะประกาศเพิ่มเติม หลังสำนักสถิติแห่งชาติจีน (National Bureau of Statistics: NBS) รายงานดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ในเดือน ก.ค. 66 อยู่ที่ -0.3% จากปีก่อน (ในเดือน มิ.ย. 66 อยู่ที่ +0.0% จากปีก่อน) ติดลบเป็นครั้งแรกตั้งแต่ ก.พ. 64 และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ในเดือน ก.ค. 66 อยู่ที่ -4.4% จากปีก่อนหน้า หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน